Review : [ HOWL’S MOVING CASTLE : ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ ] (2004)

 


ชื่อเรื่อง : HOWL’S MOVING CASTLE : ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ (2004) 

กำกับโดย : ฮายาโอะ มิยาซากิ
สร้างจาก : ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ โดย Diana Wynne Jones
อำนวยการสร้าง : โทชิโอะ ซูซูกิ
ตัดต่อ : Takeshi Seyama
ดนตรีประกอบ : โจ ฮิไซชิ
ผู้สร้าง : Studio Ghibli - สตูดิโอจิบลิ
หมวดหมู่ : การ์ตูน / นิยาย / เวทย์มนต์
ความยาว : 120 นาที
วันที่เข้าฉาย : 20 พฤศจิกายน 2004

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง :
   ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายรอบปฐมทัศน์ เมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2547 ณ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส และเผยแพร่ในโรงภาพยนตร์ญี่ปุ่นเมื่อ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2004 ทำรายได้ทั่วโลก 231.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จด้านการสร้างรายได้มากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ 
    ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 78 พ.ศ. 2549

เรื่องย่อ :
    โซฟี แฮตเตอร์ เด็กสาวอายุ 18 เป็นลูกสาวคนโตของร้านทำหมวกที่ดูแลร้านต่อจากพ่อผู้ล่วงลับไป วันหนึ่งขณะโซฟีเดินทางไปหาเล็ตตี้ น้องสาวของเธอ ระหว่างทางเธอก็ถูกทหารลวนลาม แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากพ่อมดหนุ่มปริศนา ในคืนนั้นนางแม่มดมาที่ร้านหมวกของโซฟีและสาปให้เธอกลายเป็นหญิงชราและไม่ให้เธอสามารถบอกใครเกี่ยวกับเรื่องราวที่เธอกลายเป็นคนแก่ด้วย โซฟีตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ระหว่างทางก็ได้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นและนำเธอมาสู่ปราสาทของฮาวล์ที่เดินผ่านมา.

รีวิว : 
    "เป็นหนึ่งในเอนิเมชั่นเก่าที่ถูกนำมาใช้เป็นแรงบัลดาลในให้กับจินตนาการใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี นี่คือหนึ่งในวัตถุดิบทางความคิดชั้นยอดสำหรับผู้ริเริ่มในยุคใหม่" ถือว่าใกล้เคียงความจริงมากสำหรับคำกล่าวนี้ 
    โดยส่วนตัวสำหรับหนังเอนิเมชั่นเรื่องนี้แล้วมีความโดดเด่นในเรื่องของงานภาพเป็นอย่างมาก วิวทิวทัศน์ที่งดงาม งานภาพหากลองนึกย้อนไปเมื่อสมัยนั้น นี่ก็ต้องบอกได้เลยว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของยุคสมัยเช่นกัน แม้เนื้อเรื่องอาจจะดูไม่ลึกซึ้งหรือเจาะจงมุ้งไปประเด็นใดประเด็นหนึ่งมากนัก แต่ก็หนักแน่นกับเรื่องราวที่จะสื่อได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่นในตอนแรกที่หนังเล่าเรื่องมาแบบหนึ่งแต่ก็ต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์ที่ราวกับอยู่คนละฝากกันอย่างเรื่องราวของเวทย์มนต์ แต่สุดท้ายก็เดินเรื่องตามเส้นเรื่องที่ตั้งเป้าไว้ได้อย่างเรียบง่าย
    อีกเรื่องคือเรื่องของดนตรีประกอบซึ่งผมมองว่าดีเอามากๆ เลย ธีมดนตรี Epic นั้นถ่ายทอดอารมณ์ ออกมาได้อย่างเรียบง่ายและลึกซึ้ง ฟังดูสนุกแต่ก็เศร้าไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งสามารถใช้ได้กับหลายๆฉากในหนัง จนมันจะก้องอยู่ในหูของเราเองอัตโนมัติเลย
    โดยรวมแล้วถือว่าเป็นเอนิเมชั่นที่คล้ายจะดราม่าหนักมากแต่ก็ไม่ถึงที่สุดหนังใส่อารมณ์มาให้ผู้ดูได้สัมพัสกันอย่างเต็มที่และเยอะมาก สำหรับบางคนอาจเรียกได้ว่าจุใจไปเลย แต่สำหรับบางคนอาจเยอะจนอยากอวกเลยก็ได้ ซึ่งแน่นอนมันดูเหมือนจะเกินพอดีในส่วนนี้
    ในเรื่องของตัวละครเองก็เช่นกัน ตัวละครในเรื่องนี้ที่จะเด่นๆ นั้นมีไม่กี่ตัวและแค่เห็นเราก็จะรู้ทันทีเลยว่าเป็นตัวละครตัวนั้น แม้เรื่องจะเล่าและแสดงฉากหลายฉากหลายส่วนแต่ก็เน้นเรื่องราวตัวละครเพียงไม่กี่ตัวให้เราได้รับรู้
    สุดท้ายแล้วหนังก็จะแสดงจุดที่สวยงามออกมาให้เห็นกันอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นเป็นอาหารรสชาติอร่อยจานสุดท้ายที่หนังควรจะเสริฟให้คุณทานอยู่แล้ว.

สรุป : 
    ถ้าคุณกำลังมองหาหนังที่จะสร้างแรงบัลดาลใจให้คุณแบบที่ดูง่ายๆ เรียบง่าย และหลายมุมมอง แนะนำเรื่องนี้เลยครับ เป็นแรงบัลดาลใจ และ เติมเต็มความอบอุ่นให้ได้อย่างแน่นอน.
    

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม