Review [Cloverfield : วันวิบัติอสูรกายถล่มโลก] (2003)
Review : Cloverfield : วันวิบัติอสูรกายถล่มโลก (2008)
ชื่อเรื่อง : Cloverfield : วันวิบัติอสูรกายถล่มโลกกำกับโดย : Matt Reeves (แมตต์ รีฟส์)
นักแสดงนำ : Lizzy Caplan , Jessica Lucas , T.J. Miller , Michael Stahl-David
หมวดหมู่ : สัตว์ประหลาด / แอคชั่น / ระทึกขวัญ
ความยาว : 85 นาที
วันที่เข้าฉาย : 17 มกราคม 2551 (ประเทศไทย)
เรื่องย่อ :
หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้ชีวิตกันอยู่ในกลางเมืองนิวยอร์กและในคืนที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีนั้นได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อมีอสูรกายยักษ์ได้บุกเข้ามาเพื่อทำร้ายทุกคนที่อยู่ในเมืองทางเดียวจะจัดการกับอสูรกายตัวนี้ได้นั้นก็คือต้องใช้ระเบิดถล่มเมืองนี้เท่านั้นและพวกเขาจะเอาชีวิตรอดจากเรื่องราวเลวร้ายนี้พร้อมทั้งหาทางออกจากเมืองที่กำลังจะถูกระเบิดให้จนได้
รีวิว :
ก่อนอื่นขอเกริ่นไว้ก่อนเลยว่าหนังเรื่องนี้ออกจะมีความพิเศษเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก เพราะฉนั้นเนี่ยหนังเรื่องนี้จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการเวียนหัวง่าย และเบื่อหน่ายง่าย เนื่องจากตัวหนังเองใช้เทคนิคการถ่ายภาพแบบแฮนด์เฮล (ถ่ายแบบคนเมา) ตลอดทั้งเรื่อง จะมีทั้งการสั่นไหว ภายเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา แม้กระทั้งการหกล้มแล้วกล้องกลิ้งไปกับพื้น และในส่วนของความน่าเบื่อหน่ายนั่นก็เพราะหนังกว่าจำดำเนินเรื่องไปจนถึงจุดที่มันควรจะไปจุดขายของเรื่องก็กินเวลาไปเกือบๆ 20 นาทีแล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นการเล่าเรื่องตัวละครที่ออกจะน่าเบื่อมากๆ (สำหรับคนที่ต้องการจะเสพความลุ้นระทึก หรือเห็นสัตว์ประหลาดยักษ์ แนะนำว่ามันนานมากกว่าจะเข้าเนื้อเรื่องหลัก)
และอย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้าเลยครับ เพราะหนังมีการเล่าเรื่องและถ่ายฉากที่เป็นงานปาร์ตี้แนะนำตัวละครพระเอก นางเอก และเพื่อนๆ ของเขาซึ่งรวมถึง "ฮัด" ซึ่งเป็นเพื่อนของพระเอกของเราที่ได้รับหน้าที่เป็นคนถือกล้องถ่ายภาพทุกนาทีตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้ถ่ายจนกระทั่งหนังจบ โดยพระเอกของหนังเนี่ยมีชื่อว่า "รอบ" ซึ่งกำลังจะได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ เพื่อนๆ จึงรวมตัวจัดปาร์ตี้ฉลองให้กับรอบเป็นวันสุดท้ายก่อนที่เขาจะย้ายไปทำงานที่ต่างประเทศ ซึ่งในตอนนั้น "ลิลลี่" แฟนสาวของ รอบ ที่คบหากันมานานก่อนที่เธอจะไปคบกับคนใหม่ได้มาร่วมงานด้วยและอีกตัวละครที่เข้ามานั่นก็คือ "มาเลน่า" เพื่อนสาวของ ลิลลี่
โดยบรรยากาศภายในงานก็เป็นไปอย่างเรียบง่ายตามประสาปาร์ตี้ทั่วๆ ไป (แต่สำหรับคนดูแล้วน่าเบื่อโคตร) จนกระทั่งรายการทีวีได้ตัดไปยังข่าวด่วนซึ่งมีรายงานว่าเรือบรรทุกน้ำมันได้ระบบเสียหายใกล้ๆ กับเกาะแมนฮัตตันซึ่งแรงสะเทือนก็สั่นมาจนถึงจุดที่พวกเขาอยู่เลยด้วย ทุกคนตกใจแต่ก็คิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่ง แรงสั่นสะเทือน เสียงระเบิด และเสียงคำรามของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ทรตาบสายพันธ์ ดังขึ้น
ในจุดนี้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงเนื้อหาที่ทุกคนรอคอย โดยผู้คนในเมืองต่างวิ่งหนีด้วยความกลัวและตกใจจากการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวของเจ้าสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ ซึ่งนี่เป็นจุดที่ผู้สร้างนั้นอาจจะต้องการขายมากกว่าตัวของสัตว์ประหลาดเลยก็ว่าได้ นั่นคือพวกเขาต้องการจะเสริฟความกลัวให้กับผู้ชม และแน่นอนว่างานภาพกับเนื่องเรื่องแบบนี้ที่ตอนแรกดูแสนน่าเบื่อกลับเปลี่ยนสีไปคนละโทน สิ่งที่หนังได้สื่อออกมานั้นเริ่มแน่ชัดแล้วว่า ในมุมมองของคนปกติธรรมดาเมื่อต้องเผชิญเหตุอันตรายจากสิ่งมีชีวิตขนาดยักที่แข็งแกร่ง น่ากลัวแถมมันยังกินเราเป็นอาหารอีกด้วย มันน่ากลัวและยากขนาดไหนในการเอาชีวิตรอดจากเรื่องแบบนี้
ซึ่งถ้าให้พูดเลยก็คือ หนังต้องการจะสื่อในมุมมองของคนทั่วไปหรือตัวประกอบเล็กๆ ที่วิ่งออกจากบ้านเมื่อสัตว์ประหลาดบุกในหนังเรื่องอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าในหนังมอนสเตอร์เรื่องอื่นหลายเรื่อง แทบไม่เล่าในส่วนนี้ให้เราฟังเลยว่า ผู้คนหายไปไหน อพยพไปไหน คนที่ติดอยู่ในติดเป็นยังไง แน่นอนครับว่าไม่มี แต่หนังเรื่องนี้ทำแบบนั้นครับ
มันจึงเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากที่หนังนั้นทำออกมาได้ดีโคตรๆ แม้มันจะดูจืดมากในช่วงแรกมันเลยอยู่ในความทรงจำของคนที่ดูมันจบได้ง่ายดายมาก (ถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลยแต่จำได้แน่ๆ) เพราะหนังแสดงให้เห็นถึงความเรียล ความกดดัน ความกลัวในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราไม่รู้จักและไม่สามารถฆ่ามันได้ง่ายๆ การเอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้นเป็นยังไง หนังสร้างความหวาดกลัวให้กับคนดูในรูปแบบใหม่ๆ เหมือนได้ตกไปอยู่ในสถานการณ์จริงเลยก็ว่า
โดยรวมแล้วเป็นหนังที่น่าประทับใจในระดับหนึ่งและแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับความชอบด้วย เพราะมันฉีกออกจากหนังสัตว์ประหลาดเรื่องอื่นๆ ทั้มมุมมอง และความรู้สึก และที่มันคุ้มค่าไปมากกว่านั้นซึ่งมันเหมือนอีสเตอร์เอกชิ้นโตๆ ที่หนังทิ้งไว้ตั้งแต่โปรโมทจนกระทั่งหนังจบเลย นั่นก็คือเจ้า "CLOVER" หรือเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์นั่นเอง
โดยในหนังนั้นเราแทบจะไม่ได้เห็นตัวมันเลยด้วยซ้ำและถึงแม้จะเห็นก็แค่ช่วงเวลาสั่นๆ นอกจากนั้นก็มีแค่ส่วนแขน และหายของมันเท่านั้นที่โพล่ออกมา อีกทั้งเรื่องราวของมันยังเป็นความลับที่ไม่ถูกเปิดเผยอะไรออกมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสามารถจัดการมันได้รึเปล่า แต่สุดท้ายหนังกลับประสบความสำเร็จและต่อยอดในจักรวาล CLOVERFEILD ได้เป็นอย่างดีและนั่นเป็นจุดกำเหนือ Univers สัตว์ประหลาดไคจูของทางฝั่งอเมริกาเลย ก็ว่าได้.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น