Review [Tokyo Godfathers : เมตตาไม่มีวันตาย] (2003)
Review : Tokyo Godfathers : เมตตาไม่มีวันตาย (2003)
ชื่อเรื่อง : Tokyo Godfathers : เมตตาไม่มีวันตาย (2003)กำกับโดย : Satoshi Kon (ซาโตชิ คง)
นักแสดงนำ : ชาคินา ไนฟัก, จอน เอฟเนอร์, Yoshiaki Umegaki, Satomi Koorgi
ดัดแปลงจาก: The Three Godfathers
หมวดหมู่ : เอนิเมชัน / ดราม่า
ความยาว : 92 นาที
วันที่เข้าฉาย : 8 พฤศจิกายน 2546 (ญี่ปุ่น)
เรื่องย่อ :
ในค่ำคืนของวันคริสต์มาสอีฟวันหนึ่งหลังจากชมการแสดงของเด็ก ๆ ในฉากการประสูติ คนจรจัดไร้บ้านสามคน ได้แก่ "Gin" ตาแก่ขี้เมา แดร็กควีน "ฮานะ" และเด็กสาวที่หนีออกจากบ้านชื่อ "มิยูกิ" ในค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองความความสุขของใครหลายๆ คน ของขวัญสุดพิเศษได้ถูกส่งมอบมาที่พวกเขา และเปลี่ยนแปลงเรื่องราวของการมีชีวิต มิตรภาพ ความรัก ของทุกคนไปตลอดการ
รีวิว :
แถบจะเป็นปกติเลยก็ว่าได้สำหรับคนที่ชอบดูอนิเมะหรือว่าหนังการ์ตูนที่จะทราบดีว่าเนื้อเรื่อง plot หนังต่างๆ มันจะเวอร์วังอลังการเอามากๆ ไม่เหมือนหนังที่เป็น live action ต่างๆ แต่ด้วยความที่มันเป็น อนิเมะ ทำให้ได้รับมุมมองที่แตกต่างออกไป การแสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของตัวละครนั้นกลับทำให้เรารับรู้ถึงความรู้สึกได้อย่างหนักแน่นรุนแรง เกินกว่าความเป็นจริงที่เราคิดไว้มาก แม้จะไม่สมจริงแต่บางฉากที่บิลด์อารมณ์มาพร้อมกับการแสดงออกของตัวละครที่จะชูความรู้สึกของคุณออกไปไกลกว่าที่เคยดูหรือได้รับจากหนังดราม่าฉบับคนแสดงหลายๆ เรื่อง บอกได้เลยว่าให้ความรู้สึกที่เกินคำว่าสมจริงมาก
โดยเนื้อเรื่องของหนังนั้นจะค่อยๆ ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ตัวละครหลักแต่ละตัวแม้จะไม่ถูกเผยรายละเอียดอะไรมาก แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเลย เพราะพวกเขาถูกจำกัดไว้ด้วยคำว่า "คนไร้บ้าน" หรือ "คนจรจัด" กลุ่มคนที่ถูกสังคมรังเกียจและไม่ยอมรับ ส่วนอีกคนก็เหมือนจะกำลังเริ่มต้นรับบทเป็น "คนไร้บ้าน / คนจร" (กล่าวถึง มิยุดิ เด็กสาวที่หนีออกจากบ้าน) โดยภูมิหลังของพวกเขาถูกกล่าวออกมาเพียงสั้นๆ แต่เข้าใจง่ายๆ และหนักแน่นพอที่จะทำให้คนๆ หนึ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปตลอดการ
เมื่อดำเนินมาถึงช่วงกลางเรื่อง ซึ่งเป็นส่วนที่ผมชอบมาก ในส่วนนี้หนังจะสร้างอารมณ์ความรู้แปรปรวนให้กับผู้ชมและให้ตัวละครแสดงออกผ่านการทะเลาะ และแยกทางกัน เมื่อฟังดูแล้วออกจะธรรมดาๆ มากแต่กลับมีบางอย่างที่พิเศษสุดมากๆ ที่ทำให้เรื่องนั้นดำเนินต่อไปได้อย่างสุดยอด นั้นไม่ใช่อะไร แต่เป็นคำว่า "คนจรจัด" นั่นแหละที่คอยกำหนดและขีดเขียนบทของตัวละครเอาไว้อยู่ และเนื้อหาก็เริ่มเข้มข้นขึ้นที่จุดๆนี้
ความผลิกผลันของเนื้อเรื่องคือการที่หนังพยายามจะสื่อให้เห็นถึงความเป็นมิตร ความรัก และมิตรภาพของคนจรจัด ซื้อไม่ใช่แค่กับคนๆ แต่เป็นคนทุกคน และไม่ได้แบ่งแยกว่าคนนั้นอยู่ในสังคมที่ดีกว่า มีฐานนะอะไร หรือเป็นคนจรจัดเหมือนกัน พวกเขาเลือกที่จะทำมัน ด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์ ในสิ่งที่พวกเขาไม่อาจทำได้อีกแล้วตลอดชีวิตนี้ หรือไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกเลยก็ว่าได้ ถ้าเป็นครั้งสุดท้ายที่คนจรจัดจะสามารถทำได้และเป็นสิ่งที่ดีพวกเขาก็เลือกที่จะทำมันแม้จะถูดปฏิเสธและถูกมองว่าเป็นตัวน่ารังเกียจจากสังคมอื่นๆ ก็ตามที
สรุป :
หนังเรื่องนี้มีบทสรุปแบบ Happy Ending อย่างแน่นอนไม่ต้องสืบแต่ที่น่าสนใจคือความ Happy ที่ไม่ได้จบด้วยความสุขสมหวังมันจบลงที่พวกเขาเป็นเพียง คนจรจัด ซึ่งหนังนั้นกระชากความรู้สึกเศร้าและน่าสังเวชออกมากได้อย่างรุนแรงมาก พวกเขาแลดูน่าสงสารในขณะที่เนื้อเรื่องรุมทำร้ายพวกเขาตลอดมา แต่พวกเขากลับมาจิตใจที่เมตตา ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นการเสียดสีบริบทสังคมของโลกทุกวันนี้ชัดเจน หนังเรื่องนี้ให้อารมณ์คล้ายๆกับ "Parasite : ชนชั้นปรสิต" แต่กลิ่นอายความรูกสึกแตกต่างกัน เนื่องจากการที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้เล่าถึงการเปรียบเทียบหรือแตกต่าง หนังต้องการจะสื่อให้เห็นว่าทุกคนเป็นคนเหมือนกันและเหล่าคนจร "ต้องการที่จะมีชีวิตเพื่อใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองทำได้และมีความสุข" ไม่ใช่ความต้องการครอบครองสิ่งอื่นสิ่งใดนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น