Review : [ Robot Carnival ] (1987)
ชื่อเรื่อง : Robot Carnival (1987)
กำกับโดย :
คัตสึฮิโระ โอโตโมะ ,
Yasuomi Umetsu ,
คัตสึฮิโระ โอโตโมะ ,
ทะกะชิ นะกะมุระ ,
Hiroyuki Kitakubo ,Yasuomi Umetsu ,
Hidetoshi Omori ,
Mao Lamdao ,
Hiroyuki Kitazume
สตูดิโอ : A.P.P.P. Co., Ltd.,
หมวดหมู่ : แฟนตาซี / หุ่นยนต์ / วิทยาศาสตร์ / อาชญากรรม / ความรุนแรง
ความยาว : 90นาที
วันที่เข้าฉาย : 21 กรกฎาคม 1987
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง :
Robot Carnival คือหนังเอนิเมะที่ประกอบไปด้วยผู้กำกับ 9 คน ที่แต่ละคนก็มีสไตล์และการเล่าเรื่องที่แตกต่างกันออกไป ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้จึงออกมาในรูปแบบ Anthology film (ประเภทย่อยของภาพยนตร์ ที่ประกอบไปด้วยหลายภาพยนตร์สั้น มักมีเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกัน) โดยมีธีมหลักของหนังเรื่องนี้เลย คือ ‘หุ่นยนต์’ การดำเนินเรื่องส่วนใหญ่แทบไม่มีบทพูด และบางตอนก็สั้นเพียง 7 นาทีเท่านั้น
ผู้กำกับ 9 คน ได้แก่ Hidetoshi Oomori, Hiroyuki Kitakubo, Hiroyuki Kitazume, Katsuhiro Otomo, Koji Morimoto, Mao Lamdo, Takashi Nakamura และ Yasuomi Umetsu
เรื่องย่อ :
หนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบหนังตินแยกกัน ซึ่งก็อาจจะทำให้คนดูนั้นงงได้ เพราะแต่ละเรื่องก็จะแตกต่างกันออกไปแต่ก็มีจุดเชื่อโยงที่ต่อกันนั่นก็คือความเป็นหนังหุ่นยนต์หรือแนววิทยาศาสตร์ผสมกันความเป็นไซไฟจะมีเรื่องราวหลอนๆ ถูกซ่อนเอาไว้ในเพิ่มรสชาติให้กันหนังเรื่องยาวนี้
จุดที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้เลยก็คือเรื่องราวที่ถูกนำเสนอออกมาแบบเรียบง่ายแต่อาจเข้าใจยากสำหรับยางคน เพราะเนื้อเรื่องไม่ได้ถูกถ่ายทอดหรือปูพื้นอะไรเลย เริ่มตอนมาก็จะเดินเรื่องของมันเลย ไม่มีการอธิบาย แต่ก็จะเป็นเรื่องราวที่เข้าใจได้ในตอนนั้นๆ เลย ซึ่งคนยุคปัจจุบันเนี่ยก็คงจะไม่ชอบและไม่ถูกใจเอามากๆ หรือแย่กว่านั้นเลยคือการมองหนังเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องเสียเวลา
จุดที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้เลยก็คือเรื่องราวที่ถูกนำเสนอออกมาแบบเรียบง่ายแต่อาจเข้าใจยากสำหรับยางคน เพราะเนื้อเรื่องไม่ได้ถูกถ่ายทอดหรือปูพื้นอะไรเลย เริ่มตอนมาก็จะเดินเรื่องของมันเลย ไม่มีการอธิบาย แต่ก็จะเป็นเรื่องราวที่เข้าใจได้ในตอนนั้นๆ เลย ซึ่งคนยุคปัจจุบันเนี่ยก็คงจะไม่ชอบและไม่ถูกใจเอามากๆ หรือแย่กว่านั้นเลยคือการมองหนังเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องเสียเวลา
หนังเรื่องนี้จะไม่ค่อยมีบทพูดของตัวละครมากนัก คล้ายหนังใบ้ของสมัยก่อนเลย แต่มันจะถูกแทนที่ด้วยเสียงซาวด์หรือเพลง Epic แทน เป็นการบรรเลงเพลง เพลงที่ใช้ส่วนใหญ่เลยก็จะเป็นเพลงแนวโลกอนาคตหรือ Retro Electro Music ที่จะคอยให้อารมณ์ไปกับหนังอยู่เรื่อยๆ ทั้งจังหวะน่าตื่นเต้น หรือเศร้า สยอง ก็จะมีแค่เพลงแนวๆ นี้แหละครับที่คอยบรรเลงอยู่
สรุป :
เป็นหนังที่ดูไว้เป็นความประทับใจเล็กๆ ก็พอได้ครับ เนื่องจากเป้าหมายของมันแท้จริงแล้วไม่ใช่การถ่ายทอดเรื่องราวให้คนดูเข้าใจ แต่เป็นการโชวน์ให้เห็นถึงความคิด จินตนาการ และความก้าวหน้าของยุคสมัยนั้นเพียงเท่านั้น บางเรื่องบางตอนเราดูเราอาจไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันต้องการจะสื่ออะไร หรือ มีจุดมุ่งหมายอะไร ต้องไปจินตนาการต่อยอดกันเอาเอง บางตอนก็เริ่มและจบแบบงงๆ ซะงั้น แต่ก็นั่นแหละครับ มันทำให้เราได้เห็นถึงความก้าวหน้าในอดีดเฉยๆ ซึ่งถ้าเป็นคนในยุคนั้นนี่อาจจะเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจเลยก็ว่าได้ แต่ยอมรับเรื่องแนวคิดที่หลุดโลกและความดาร์กในบางส่วน ถือว่าเป็นกลิ่นอายที่จะอยู่ในความทรงจำของผู้ดูได้จริงๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น